วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รายงานคำถามท้ายบทที่1
ประเภทคอมพิวเตอร์



คอมพิวเตอร์สามารถจำแนกได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับความแตกต่างของขนาดเครื่องความเร็วในการประมวลผล และราคาเป็นข้อพิจารณาหลัก โดยทั่วไปนิยมจำแนกประเภท คอมพิวเตอร์ เป็น 6 ประเภทดังนี้คือ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer) คอมพิวเตอร์เมนเฟรม (mainframe computer) มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer) เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ (server computer ) ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) และคอมพิวเตอร์แบบฝัง (embedded computer) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้







ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด จึงราคาแพงมาก ความสามารถในการประมวลผลที่ทำได้มากกว่า พันล้านคำสั่งต่อวินาที ตัวอย่างการใช้งานคอมพิวเตอร์ประเภทนี้ เช่น การพยากรณ์อากาศการทดสอบทางอวกาศ และงานอื่น ๆ ที่มีการคำนวณที่ซับซ้อน








คอมพิวเตอร์เมนเฟรมหรือคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (mainframe computer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพรองจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สามารถรองรับการทำงานจากผู้ใช้ได้หลายร้อยคนในเวลาเดียวกัน ประมวลผลด้วยความเร็วสูง มีหน่วยความจำหลักขนาดใหญ่ ตลอดจนการจัดเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก คอมพิวเตอร์เมนเฟรม นิยมใช้กับองค์การขนาดใหญ่ที่มีการเข้าถึง ข้อมูลของผู้ใช้จำนวน มากในเวลาเดียวกันเช่น งานธนาคาร การจองตั๋วเครื่องบิน การลงทะเบียนและการตรวจสอบผลการเรียน ของนักศึกษา เป็นต้น

มินิคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ขนาดกลาง (minicomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานน้อยกว่า เมนเฟรมแต่สูงกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ และสามารถรองรับการทำงาน จากผู้ใช้ได้หลายคนในการทำงาน ที่แตกต่างกัน จากจุดเริ่มต้นใน การพัฒนา ที่ต้องการให้ คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ทำงานเฉพาะอย่าง เช่น การคำนวณทางด้านวิศวกรรม ทำให้การพัฒนามินิคอมพิวเตอร์ เจริญอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันธุรกิจและองค์การหลายประเภทนิยมนำ มินิคอมพิวเตอร์มา ใช้ในการให้บริการข้อมูลแก่ลูกค้า เช่น การจองห้องพักของโรงแรม การทำงานด้านบัญชีขององค์การธุรกิจ เป็นต้น


เซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์ (server computer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่สนับสนุนการทำงานของคอมพิวเตอร์ เครือข่ายซึ่งใช้ในการจัดสรรและใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่น แฟ้มข้อมูล โปรแกรมประยุกต์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ( เช่น เครื่องพิมพ์แลอุปกรณ์อื่น ๆ )



ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer) เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีผู้นิยมใช้แพร่หลายมากที่สุด ส่งผลให้การพัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์มีลักษณะและรูปแบบ ที่แตกต่างกัน เช่น คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ( desktop computer ) คอมพิวเตอร์พกพา ( portable computer )



คอมพิวเตอร์แบบฝัง
embedded computer


ความหมายและประโยชน์ ของคอมพิวเตอร์แบบฝัง
คอมพิวเตอร์แบบฝัง (embedded computer ) เป็นคอมพิวเตอร์ที่ฝังในอุปกรณ์ต่าง ๆ นิยมนำมาใช้ทำงาน เฉพาะด้าน พิจารณาจากภายนอกจะไม่เห็นว่าเป็นคอมพิวเตอร์แต่จะ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานบางอย่างของอุปกรณ์นั้นๆ คอมพิวเตอร์ประเภทนี้ เช่น เครื่องเล่นเกม ระบบเติมน้ำมันอัตโนมัติ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น


ที่มาจากเว็บ:http://www.tp.th.gs/web-t/p/index3.htm
สืบค้นเมื่อวันที่ 26/06/51
ความแตกต่าง "ข้อมูล" และ" สารสนเทศ"
ข้อมูล (Data) ในระบบคอมพิวเตอร์ หมายถึงสิ่งที่เป็นตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสียง เกี่ยวกับคน สัตว์ สิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้จะมีจำนวนมากอาจอยู่ในรูปของตัวเลข ตัวอักษร กราฟฟิก สิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้รับการประมวลผลใดๆ จึงเป็น ข้อมูลที่ต้องการได้รับการประมวลผลเพื่อทราบผลลัพธ์ หรือต้องการจัดเก็บให้เป็นระบบระเรียบเพื่อใช้งานต่อไป
สารสนเทศ (Information) คือ ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว โดยขั้นตอนในการประมวลคือมีการรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบข้อมูลว่าข้อมูลนั้นจริงเท็จอย่างไร แล้วนำไปดำเนินการประมวลผลโดย ใช้วิการจัดแบ่งข้อมุล แบ่งเป็นกลุ่มๆตามประเภทและจัดเรียงข้อมูลเพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานและ สุดท้ายการคำนวณข้อมูล ซึ่งข้อมุลบางตัวนั้นอาจจะเป็นข้อมูลที่เป็นตัวเลขจึงจะต้องมีการคำนวณเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะดวกต่อการใช้งานและเป็นข้อมุลสุดท้ายที่ได้มานั้นดีที่สุด และหลังจากการประมวลผลแล้วนั้นเราก็ต้องจัดเก็บข้อมูล โดยอาจจะใช้การจัดเก็บลงเครื่องหรือสื่อบันทึกต่างๆ เพื่อจะได้ง่ายต่อการเรียกใช้งาน อีกด้วย

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า "ข้อมูล" คือ ข่าวสาร ข้อความรูปภาพ เสียง หรืออะไรต่างๆ ที่อยู่ในหลายๆ รูปแบบ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ได้ผ่านการประมวลผล หรือจัดกลุ่ม เรียบเรียงอะไรทั้งสิ้น ยังไม่สามารถที่จะนำไปใช้งานได้ จะแตกต่างกับ "สารสนเทศ" นั้นคือ สารสนเทศ เป็นข้อมูลที่ได้รับการกลั่นกรอง หรือประมวลผลในรูปแบบหรือกรรมวิธีต่างๆแล้ว เป็นข้อมูลที่สะดวกต่อการใช้งาน ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่ดีที่สุด สามารถนำมาอ้างอึง ใช้งานได้เลย
อ้างอิง คัดลอก และตัดต่อบทความมาจาก http://board.dserver.org/k/kitty2001/00000023.html
VLSI คือ

ความหมายย่อมาจาก very large scale integration (แปลว่า วงจรรวมความจุสูงมาก) หมายถึงการสร้างชิป (chip) โดยสามารถนำประตู (gate) มารวมกันได้ถึง 100,000 ประตูหรือมากกว่านั้น แล้วนำมาใช้เป็นตัวประมวลผล ทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลงได้มาก ในปัจจุบัน มีการสร้างชิปที่มีประตูมากยิ่งไป กว่านั้น เรียกว่า ULSI ( ultra large scale integraton หรือวงจรรวมความจุสูงยิ่ง)
ใช้คอมพิวเตอร์ทำอะไรบ้าง ?
  • ใช้เพื่อเข้าinternet หาข้อมูลต่างๆ เช่น ข้อมูลความบันเทิง วิชาการ การเมือง ฯลฯ
  • ใช้ทางด้านการพิมพ์งาน เช่นใช้ microsoft word เป็นโปรแกรมให้เราพิมพ์ของเราได้ง่าย และรวดเร็วสวยงาม
  • ใช้งานทางด้านกราฟฟิก เช่น ใช้photoshop เพื่อตกแต่งภาพ ตัดต่อ
  • ใช้ทางด้านความบันเทิง เล่นเกมส์ ฟังเพลง เพื่อความสนุกสนานบันเทิง

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

หัวข้อข่าว"ครบรอบ30ปีอีเมล์ขยะ"

วันที่ 18/06/51
มาจากhttp://www.arip.co.th
เวลา19.45น.
ครบรอบ30ปีอีเมล์ขยะ


นายนพชัย ตั้งไตรธรรม ที่ปรึกษาทางเทคนิค บริษัท ไซแมนเทค คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่าน มา ถือเป็นการครบรอบ 30 ปี ของการเกิดอีเมล์ขยะ ซึ่งจำนวนอีเมล์ขยะขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากรายงานของไซแมนเทค ระหว่างเดือนเมษายนที่ผ่านมา 80 เปอร์เซ็นต์ของอีเมล์ที่เข้ามาในระบบทั้งหมด เป็นเมล์ ขยะมีอัตราเติบโตประมาณ 87 เปอร์เซ็นต์


ส่วนในเดือนพฤษภาคมเฉลี่ยอยู่ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้บรรดาสแปมเมอร์ (Spammer) หันมาให้ความสนใจกับวิธีการล่อลวงแบบใหม่ ที่อ้างอิงแหล่งที่มาที่น่า เชื่อถือ อย่างเช่น
อีเมล์ขยะประเภทฟิชชิ่งสำหรับหมายศาลเรียกตัว หรือ อีเมล์ขยะประเภทคัดเลือกนักแสดงประกอบ หากเหยื่อตกหลุมพรางก็จะเก็บข้อมูลส่วนตัว และนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการฉ้อฉลต่อไปในรายงานยังได้ระบุแนวโน้มสำคัญต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น การตีกลับเมล์ขยะ ซึ่งข้อความตีกลับที่มีส่วน หัวเป็นข้อความปลอม มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เหล่าบรรดาสแปมเมอร์ดึงชื่อเสียงของกูเกิลเพื่อการล่อลวง (Spammers “Google”the Google Brand) และการโจมตี ประเภท สเปียร์ ฟิชชิ่ง โดยอ้างหมายศาลเรียกตัว (Spear Phishing for a Subpoena) ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่จะเน้นมุ่งโจมตีเฉพาะบุคคลและเฉพาะองค์กร และให้ระวังเหล่าสแปมเมอร์ส่งของขวัญทางโปรแกรมส่งข้อความด่วน (Beware of the Spammer Bearing Instant Messenger Gift)

โน๊ตบ๊คุเครื่องที่2

วันที่ 18/06/51
จากเว็บhttp://www.arip.co.th
เวลา19.35น.


โน๊ตบุ๊คเครื่องที่2



ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้บริโภคต้องการโน้ตบุ๊กที่สามารถติดตัว เพื่อใช้งานได้ในทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็น นักเรียนนักศึกษาที่ต้องการโน้ตบุ๊กขนาดกะทัดรัด สามารถตอบโจทย์รูปแบบการเรียนรู้ในปัจจุบัน ตลอดจนนักธุรกิจ SMEs ที่ต้องการความคล่องตัวในการสื่อสาร และนำเสนองานกับลูกค้า คำตอบสุดท้ายก็คือ โน้ตบุ๊กเครื่องที่สองที่มีขนาดกะทัดรัด ในราคาย่อมเยา แตใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังสามารถถ่ายโอนข้อมูลกับโน้ตบุ๊กเครื่องแรกได้อย่างง่ายดายอีกด้วยหลายคนคงไม่มีใครปฏิเสธว่า โน้ตบุ๊กยิ่งมีขนาดเล็กเท่าไร มักจะยิ่งมีราคาสูงขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ประสิทธิภาพก็ไม่เท่ากับเครื่องที่มีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งในท้ายที่สุดผู้บริโภคที่เลือกใช้โน้ตบุ๊กขนาดเล็ก มักจะลงเอยด้วยการมองหาเดสก์ทอป หรือโน้ตบุ๊กที่มีขนาดใหญ่กว่าไว้ทำงานหลักอยู่ดี
แต่ด้วยเทคโนโลยี CPU รุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันที่มีประสิทธภาพมากขึ้น ในขณะที่ใช้พลังงานน้อยลง แถมยังมีราคาที่ไม่สูงมากนัก โดยเฉพาะรุ่นที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์การสร้างโน้ตบุ๊กที่มีขนาดเล็ก ซึ่งหมายถึงโน้ตบุ๊กเครื่องที่สองที่สะดวกพกพาติดตัว ใช้งานได้นาน และทุกที่ที่ต้องการ ในขณะที่สามารถทำงานร่วมกับโน้ตบุ๊กเครื่องหลักได้อีกด้วย พบกับคำตอบโน้ตบุ๊กเครื่องที่สองผู้บริโภคต้องการได้ในงาน COMMART X’Gen 2008 วันที่ 12-15 มิถุนายน ณ.ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

รายงาน

รายงานพื้นฐานวิทยาการคอมพิวเตอร์